การเห็นตามความเป็นจริง ทำไมต้องมีสมาธิ

เริ่มโดย kai, ก.ย 08, 2024, 05:20 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

ถาม การเห็นตามความเป็นจริง ทำไมต้องมีสมาธิ คะ
ใช้ การเห็นตามความเป็นจริง จากสติ โดยตรงไม่ได้หรือคะ


ตอบ พระพุทธดำรัส

"สมาธึ ภิกขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ"
ภิกษุทั้งหลาย เธอจงยังสมาธิให้เกิดเถิด ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง
ยถาภูตญาณ ความรู้ความเป็นจริง, รู้ตามที่มันเป็น
ยถาภูตญาณทัสสนะ ความรู้ความเห็นตามเป็นจริง

แม่บท
=======================================
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
สมาธิสูตร
            [๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง
          รู้อะไรตามความเป็นจริง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุวิญญาณไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุสัมผัสไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
          ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่เที่ยง ฯลฯ
          รู้ตามความเป็นจริงว่า ใจไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมารมณ์ทั้งหลายไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนวิญญาณไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนสัมผัสไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
          ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด
     ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุ ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ฯ
     จบสูตรที่ ๖
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
สมาธิสูตร
            [๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง
          รู้อะไรตามความเป็นจริง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุวิญญาณไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุสัมผัสไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
          ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่เที่ยง ฯลฯ
          รู้ตามความเป็นจริงว่า ใจไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมารมณ์ทั้งหลายไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนวิญญาณไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนสัมผัสไม่เที่ยง
          รู้ตามความเป็นจริงว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
          ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด
     ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุ ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ฯ
     จบสูตรที่ ๖
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
สติวรรคที่ ๔
สติสูตร
ตรัสว่า ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ ก็ทำให้ไม่มีธรรมะอื่น ๆ อีก ๗ ข้อโดยลำดับ  คือ
    - ความละอาย ความเกรงกลัวต่อบาป,
     - การสำรวมอินทรีย์ ศีล,
     - สัมมาสมาธิ ( ความตั้งใจมั่นชอบ ).
     - ยถาภูตญาณทัสสนะ ( ความรู้ด้วยญาณ ตามเป็นจริง ),
     - นิพพิทา ( ความเบื่อหน่าย ),
     - วิราคะ ( ความคลายกำหนัด ),
     - วิมุตติญาณทัสสนะ ( ความเห็นด้วยญาณถึงความหลุดพ้น ).
ตรัสแสดงการเจริญสมาธิ ( สมาธิภาวนา ) ๔ อย่าง
๑. ที่เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ได้แก่เจริญฌาน ๔,
๒. ที่เป็นไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ ( การเห็นด้วยญาณ) ได้แก่การใส่ใจในความกำหนดหมายแสงสว่าง ตั้งความ
กำหนดหมายว่าเป็นกลางวัน คืออบรมจิตให้มีแสงสว่าง ด้วยจิตสงัดไม่ถูกรึงรัด ว่าเหมือนกันทั้งกลางวันกลางคืน,
๓.ที่เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ ได้แก่รู้แจ้งเวทนา, สัญญา, วิตก ( ความตรึก ) ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป,
๔. ที่เป็นไปเพื่อสิ้นอาสวะ ได้แก่เห็นความเกิดขึ้น ดับไปแห่ง ขันธ์ ๕.
ที่มา พระไตรปิฎกฉบับประชาชน (อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ)
สมาธิภาวนา ๔ (การเจริญสมาธิ, วิธีฝึกสมาธิแบบต่างๆ จำแนกตามวัตถุประสงค์)
๑. สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร (คือเพื่อการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เช่น ใช้เป็นเครื่องพักผ่อนจิต หาความสุขยามว่าง เป็นต้น)
๒. สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อการได้ญาณทัสสนะ
๓. สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสติและสัมปชัญญะ
๔. สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ
ที.ปา.๑๑/๒๓๓/๒๓๓; องฺ.จตุกฺก.๒๑/๔๑/๕๗
ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม(ป.อ.ปยุตโต)
พระไตรปิฎก เล่ม ๑๑
พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
[๒๓๓] สมาธิภาวนา ๔ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมมีอยู่ ฯ
๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่ ฯ
๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติและสัมปชัญญะมีอยู่ ฯ
๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายมีอยู่ ฯ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอย่างไหนที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็น
ไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลายภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย
เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา ที่สติอยู่เป็นสุข
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุข
ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันภิกษุอบรมแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะ เป็นไฉน

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มนสิการอาโลกสัญญา ตั้งสัญญาว่าเป็นเวลากลางวันไว้ กลางวันอย่างใด กลางคืนอย่างนั้น กลางคืนอย่างใด กลางวันอย่างนั้น มีใจเปิดเผยไม่มีอะไรหุ้มห่ออบรมจิตให้มีแสงสว่าง ด้วยประการฉะนี้
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะ ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
สติสัมปชัญญะ เป็นไฉน

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เวทนาทั้งหลายอันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ รู้แจ้งแล้ว ย่อมบังเกิดขึ้น
ย่อมตั้งอยู่ ย่อมถึงความดับสัญญาทั้งหลายอันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้รู้แจ้งแล้ว
ย่อมบังเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ย่อมถึงความดับ วิตกทั้งหลายอันภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้รู้แจ้งแล้ว ย่อมบังเกิดขึ้นย่อมตั้งอยู่ ย่อมถึงความดับ ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้อันภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
สติสัมปชัญญะ ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เป็นไฉน ฯ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความ
เสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ห้าว่า ดังนี้รูป ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูปดังนี้ความดับแห่งรูป ดังนี้
เวทนา ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา ดังนี้ความดับแห่งเวทนา ดังนี้สัญญา ดังนี้ความเกิดขึ้น
แห่งสัญญา ดังนี้ความดับแห่งสัญญาดังนี้สังขาร ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร ดังนี้ความดับ
แห่งสังขาร ดังนี้วิญญาณดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลายสมาธิภาวนานี้
อันภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ฯ

เจริญธรรม / เจริญพร
20 ตุลาคม 2564