ทำไมความจริง ของจริง ดี ๆ ถึงพูดไม่ได้ครับ

เริ่มโดย kai, ก.ย 02, 2024, 09:12 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

ถาม ทำไมความจริง ของจริง ดี ๆ ถึงพูดไม่ได้ครับ

ตอบ สจฺจํ เว อมตา วาจา เอส ธมฺโม สนนฺตโน
สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา.


คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย นั่นเป็นธรรมเก่า
สัตบุรุษทั้งหลายเป็นผู้ตั้งมั่นในคำสัตย์ที่เป็นอรรถและเป็นธรรม.
(วงฺคีสเถร) ขุ.เถร. ๒๖/๔๓๔.


อ่านให้ดี ๆ นะ ท่าน พระวังคีสะ ท่านพูดไว้อย่างนี้ คือให้ฉลาดพูด
เราต้องอยู่ในโลก เป็น สัตบุรุษ ต้องรู้จัก เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล สังคม บุรุษบุคคล พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ บัณฑิต ยึดหลักการตรงนี้ไว้เวลาอยู่ในสังคม

เช่น คุณทำงานแล้วไม่ถูกกับเจ้านาย ไม่ชอบลูกน้อง คุณไปยืนว่าเจ้านาย ด่าลูกน้อง ทุกวัน เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ความจริง เจ้านายอาจจะผิด ลูกน้องอาจจะผิด คุณก็อาจจะผิด เช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว ความผิดมันก็มีอยู่ แต่ถ้าขืนพูดความจริงออกไป ว่าไม่ชอบ เกลียดเจ้านาย ลูกน้อง ผลกระทบก็จะตามมา ใช่ไหม อันนี้เขาบอกว่า ต้องกล่าวว่าใช้หลักเหตุหลักผลไม่ได้ ต้องใช้หลักอื่น คือ กาลบุรษบุคคล ประมาณตน สังคม
ถ้ายุ่งเรื่อง สังคม มันก็จะมีเรื่อง วุ่นวายแบบนี้ไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น

ดังนั้น พอจ เบื่อเรื่องพวกนี้ แก้เรื่องคนดี คนไม่ดี มาตั้งแต่อายุ 12 - 35 ปีแล้ว ทำงานเผยแพร่ ศีลธรรม ร่วมกับ คณาจารย์ ท่านต่าง ๆ มาหลายสิบปี เข้าใจดี ว่า อย่างไรเสียโลก มันก็เป็น โลก เพราะอาศัย กิเลส ดังนั้น ตอนนี้สนใจเรื่องพ้นโลก ไม่เกี่ยวข้องกับโลก แต่อนุเคราะห์ กับโลก ด้วยคนบางพวกที่พร้อมจะไปกับเราเท่านั้น ไปแบกคนทั้งโลกไปนิพพาน ไม่ได้

พระพุทธเจ้าก็ทำไม่ได้ตรัสรู้ได้ยาก ช้า นาน 9 แสนอสงไขยชาต ก็ไม่สามารถทำให้คนทั้งโลก ดี ได้ ขนาดพระพุทธเจ้า สอนเอง คนในสมัยนั้นก็ตามราวี ตามด่า ตามฆ่า กันมากมาย พี่น้องวงศ์ตระกูลท่าน บ้างก็เลื่อมใส บ้างก็ไม่เลื่อมใส ฆ่ากันตาย ที่แม่น้ำโรหิณี เป็นจำนวนมาก นี่ขนาดพระพุทธเจ้า นะ

แล้ว ธัมมะวังโส ถ้าเทียบกับพระพุทธเจ้า ก็เป็น ผงธุลี ใต้ฝ่าพระบาทเท่านั้น ไหนหรือ จะหาญกล้าไปทำให้คนดีทั้งโลก เมื่อก่อนเคยคิดว่า ร่วมกับคณาจารย์ต่าง ๆ ก็เพราะคิดว่าน่าจะทำได้แต่ไม่ได้ฉุกคิด หรือ มองเห็นความจริงว่า คนอยู่กับกิเลสมากกว่า หรือ อยู่กับพระธรรมมากกว่า

ความเป็นจริงของคน ห่างเหินพระธรรมมากกว่า เพราะพระธรรม เป็นเรือ่งขาดรสชาด ทางความสนุกสนาน จืดชืด สำหรับชาวโลก ชวนคนมาฟังธรรม ก็ยากยิ่ง ชวนคนมานั่งกรรมฐาน ยิ่งยากใหญ่ ชวนคนไปนิพพานหรือ แทบจะไม่มี ความจริงมันเป็นอย่างนี้

ดังนั้นการพูดความจริง มากไปก็ไม่ดี ให้พูดจริงในการปฏิบัติเพียงพอ เพราะอยู่กับชาวโลกบางครั้ง ก็ต้องไม่พูด ไปตำหนิเขาไม่ได้ ตำหนิแล้วโกรธ มีมาก ยิ่งลูกศิษย์ ตัวดี เลย ขึ้นถาดกรรมฐาน กับ พอจ ตำหนิว่าไม่ภาวนา ก็เลิกทำบุญกัน ไม่มาเลยมีเยอะ

ดังนั้นสี่ปี ย้อนกลับไป หลัง พอจ ได้คุณธรรมบางอย่างแล้ว ก็มองเห็นความจริงว่า สัตว์ที่มีธุลีในดวงตามีน้อยอยู่นั้น พอมีอยู่ ก็ช่วยสัตว์ที่ธุลีน้อย ส่วนที่มีธุลีมาก หรือ ตาบอด ก็ถือว่า ไม่มีวาสนา ซึ่งกันและกัน

ดังนั้นสามสี่ปีมานี้ พอจ มุ่งสอน ให้กับคนที่จริงในพระนิพพาน และพอมีวาสนาไปด้วยกันได้ ส่วนคนที่ พอจ คัดมานั้น ถือว่า มีบารมีบ้างแล้ว บางคนยังคลุกคลีอยู่กับโลก ยังไม่สนใจแต่เมื่อแก่ตัวไป พอจ ละสังขารแล้ว ก็คงจะใช้หลักคุณธรรม ที่สอนไปให้มีประโยชน์

เจริญธรรม / เจริญพร
10 ตุลาคม 2564