ตัดอาหารของนิวรณ์ กันแล้ว กรรมฐานก็จักก้าวหน้าตามที่ควรจะเป็น

เริ่มโดย kai, ส.ค 11, 2024, 09:46 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

ธรรมะสาระวันนี้ "ตัดอาหารของนิวรณ์ กันแล้ว กรรมฐานก็จักก้าวหน้าตามที่ควรจะเป็น"

พระสุตตันตปิฎก  สังยุตตนิกาย  มหาวารวรรค  [๒.  โพชฌังคสังยุต]
  ๖.  โพชฌังคสากัจฉวรรค  ๑.  อาหารสูตร
พระไตรปิฏกเล่มที่ 19 หน้า 162 - 163

อาหารของนิวรณ์

    อะไรเล่าเป็นอาหารที่ทำกามฉันทะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น

    คือ สุภนิมิตมีอยู่  การทำมนสิการโดยไม่แยบคายในสุภนิมิตนั้นให้มาก    นี้เป็นอาหารที่ทำกามฉันทะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น

            อะไรเล่าเป็นอาหารที่ทำพยาบาทที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น

      คือ ปฏิฆนิมิตมีอยู่    การทำมนสิการโดยไม่แยบคายในปฏิฆนิมิตนั้นให้มากนี้เป็นอาหารที่ทำพยาบาทที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น

            อะไรเล่าเป็นอาหารที่ทำถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น

      คือ    ความไม่ยินดี    ความเกียจคร้าน    ความเมื่อยขบของร่างกาย    ความเมาอาหาร    และความที่จิตหดหู่มีอยู่    การทำมนสิการโดยไม่แยบคายในธรรมเหล่านั้นให้มาก    นี้เป็นอาหารที่ทำถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้นอะไรเล่าเป็นอาหารที่ทำอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น

    คือ    ความไม่สงบจิตมีอยู่    การทำมนสิการโดยไม่แยบคายในความไม่สงบจิตนั้นให้มาก    นี้เป็นอาหารที่ทำอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น
 
          อะไรเล่าเป็นอาหารที่ทำวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น    หรือทำวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น
    คือ    ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่    การทำมนสิการโดยไม่แยบคายในธรรมเหล่านั้นให้มาก    นี้เป็นอาหารที่ทำวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นหรือทำวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น


        ขึ้นชื่อว่า ชาวโลก ย่อมอาศัยภักษาหาร ประคับประคองรักษาชีวิต
        ในขณะเดียวกัน ภักษาหาร ที่ทำให้กิลสขั้นต่ำ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับนักภาวนา ก็คือ นิวรณ์ ก็มีอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต ถ้านักภาวนาทั้งหลายรู้แล้ว ก็ควรตัดภักษาหารของนิวรณ์เสีย ก็จะทำให้กรรมฐาน มีความก้าวหน้า มากยิ่งขึ้น



อะไรเป็นเครื่องปิดบังความจริง ...... ก็ตอบได้ว่า นิวรณ์ เป็นธรรมสกัดกั้น การเห็นตามความเป็นจริง
การเห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่สังขาร การนึกคิด แต่การเห็นตามความเป็นจริง ขอแยกเป้นสัดส่วนให้ท่านทั้งเข้าใจกับคำว่า ยถาภูตญาณทัศศนะ การเห็นตามความเป็นจริง

  การเห็นตามความเป็นจริง แยกเป็น สามส่วน
  การเห็นตามความเป็นจริง มีในหลักพระพุทธศาสนา ดังนั้นผู้ฝึกกรรมฐาน ในสายที่ไม่ใช่พุทธ พวกโยคี เป็นต้นจึงไม่ได้ภาวนาเพื่อการเห็นตามความเป็นจริง

  1.การเห็น จัดเป็น ปริยัติ
  2.ตาม  จัดเป็น ปฏิบัติ
  3.ความเป็นจริง  จัดเป็น ปฏิเวธ

    1.การเห็น บางท่านคิดว่า เห็น ด้วยใจ สัมผัสด้วยใจ การเห็นแบบนี้เป็นของคนทั่วไป การเห็น ด้วยสมาธินั้นต้องเห็น อายตนะทั้งหมด ตั้งแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ เห็นต้องทุกอายตนะ ตอนที่เห็นต้องเห็นอย่างนี้ เกิดอายตนะไหนก่อน ก็แล้วแต่การเห็น แต่การเห็น ต้องเห็นทุกอายตนะ

    เห็นอย่างไร
    เห็น ดังนี้ เมื่อ ตา กระทบกับ รูป  ก็เห็นว่าไม่เที่ยง
                        ( ไม่ต้องอธิบาย เพราะญาณจะทำให้เห็นเอง )
                    หู กระทบกับ เสียง ก็เห็นว่าไม่เที่ยง
                    จมูก กระทบกับ กลิ่น ก็เห็นว่าไม่เที่ยง
                    ลิ้น กระทบกับ รส ก็เห็นว่าไม่เที่ยง
                    กาย กระทบกับ ผัสสะก็เห็นว่าไม่เที่ยง
                    ใจ กระทบกับ โผฏฐัพพะก็เห็นว่าไม่เที่ยง
                  เมื่อเห็นว่าไม่เที่ยงแล้ว ก็จะเห็นว่า เป็นทุกข์ คงสภาพอยู่อย่างนั้นไม่ได้
               
    2.ตาม อริยมรรคปรากฏ
        เมื่อการเห็นเกิดขึ้น การติดตาม คือ สมาธิ และเป็นการพิจารณาธรรม การตามก็คือการภาวนา

    3.เห็นตามจริง อริยผลปรากฏ
        เห็นตามความเป็นจริง ที่ทำให้ รูปนาม สละละต่อกิเลส ได้จริง......
           

    เจริญธรรมเท่านี้ก่อนนะจ๊ะ
    พฤษภาคม 13, 2555