นักปฏิบัติควรเชื่อเรื่อง เวียนว่ายตายเกิดแบบ ภพ ด้วย

เริ่มโดย kai, ส.ค 08, 2024, 09:42 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

ธรรมะสาระวันนี้ "นักปฏิบัติควรเชื่อเรื่อง เวียนว่ายตายเกิดแบบ ภพ ด้วย"




พระสุตตันตปิฏก  ทีฆนิกาย  มหาวรรค  [๑.  มหาปทานสูตร]
      เรื่องเกี่ยวกับปุพพเพนิวาส
เล่มที่ 10 หน้า 2 -3


[๒]    พระผู้มีพระภาคทรงสดับคำสนทนาของภิกษุเหล่านั้นด้วยทิพพโสตธาตุอันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์    เสด็จลุกจากพุทธอาสน์เข้าไปที่หอนั่งใกล้กเรริมณฑปประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว    รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสถามว่า
          "ภิกษุทั้งหลาย    บัดนี้    เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร    เรื่องอะไรที่เธอทั้งหลายสนทนากันค้างไว้"
            เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้    ภิกษุเหล่านั้น    จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจากบิณฑบาต    ภายหลังฉันอาหารเสร็จแล้ว    นั่งประชุมกันที่หอนั่งใกล้กเรริมณฑป    สนทนาธรรมอันเกี่ยวกับปุพเพนิวาสว่า    'ปุพเพนิวาสมีได้เพราะเหตุอย่างนี้  ๆ'    เรื่องนี้แลที่ข้าพระองค์ทั้งหลายสนทนากันค้างไว้    ก็พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง    พระพุทธเจ้าข้า"
            [๓]    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายต้องการจะฟังธรรมีกถาอันเกี่ยวกับปุพเพนิวาสหรือไม่"
            พวกภิกษุทูลตอบว่า    "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต    ถึงกาลอันสมควรที่พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงธรรมีกถาอันเกี่ยวกับปุพเพนิวาส    ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคแล้วจะได้ทรงจำไว้    พระพุทธเจ้าข้า"
            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    "ถ้าอย่างนั้น    เธอทั้งหลายจงฟัง    จงใส่ใจให้ดี    เราจักกล่าว"    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว    พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
            [๔]    "ภิกษุทั้งหลาย    นับจากกัปนี้ถอยหลังไป    ๙๑    กัป    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี    ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก    นับจากกัปนี้ถอยหลังไป๓๑    กัป    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี    ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก    ในกัปที่    ๓๑    นั้นเอง    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู    ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก    ในภัทรกัป(๑)นี้เอง    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-สัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ    ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก    บัดนี้    เราผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า    ก็ได้อุบัติขึ้นมาในโลกในภัทรกัปนี้เช่นกัน
            [๕]    พระวิปัสสีพุทธเจ้า    พระสิขีพุทธเจ้า    พระเวสสภูพุทธเจ้า    มีพระชาติเป็นกษัตริย์    ได้เสด็จอุบัติขึ้นในตระกูลกษัตริย์    พระกกุสันธพุทธเจ้า    พระโกนาคมน-พุทธเจ้า    พระกัสสปพุทธเจ้า(๒)  มีพระชาติเป็นพราหมณ์    ได้เสด็จอุบัติขึ้นในตระกูลพราหมณ์    บัดนี้    เราผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า    มีชาติเป็นกษัตริย์    ได้อุบัติขึ้นในตระกูลกษัตริย์
(๑)กัทรกัป คือ กัปที่เจริญหรือดีงาม เนื่องจากเป็นกัปเดียวที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติถึง ๕ พระองค์ ในที่นี้
  หมายถึงกัปปัจจุบันนี้ (ที.ม.อ. ๔/๕)

(๒) ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปในพระสูตรนี้ จะใช้คำว่า "พระวิปัสสีพุทธเจ้า พระสิขีพุทธเจ้า พระเวสสภูพุทธเจ้า
  พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า" แทนวลีว่า "พระผู้มีพระภาคอรหันต-
  สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี  เป็นต้น




ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็น ญาณ ก่อนการตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน

 ญาณส่วนนี้เป็นญาณส่วนที่เกี่ยวข้องกับ อดีตชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ยืนยันให้ทราบเป็นนัยว่า ภพ ภูมิ สังสารวัฏนี้ ปรากฏแจ่มแจ้ง แล้วจริง

 มีหลายท่านเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้า ในภัทรกัปป์นี้ แต่ก็ยังไม่เชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดอีกเพราะนึกหน่วงหนักปัญญามากไป เพราะเหตุเพียงเชื่อแต่เรื่องอารมณ์ปัจจุบันจึงไม่มีกำลังจิตครู ในอดีตมาตอกย้ำให้เข้าใจรู้แจ้งเห็นจริงได้ว่า ทุกข์ มีอย่างนี้ มีเหตุเกิด เวียนว่ายกันมาเป็นเวลานานแสนนาน

  ดังนั้น พุทธสาวกที่ บำเพ็ญธรรมภาวนาจนถึงขั้น นิพพิทาญาณ ท่านมองเห็นความเป็นจริง ของสังสารวัฏ นี้แล้วว่าทุกข์ มีประการอย่างนี้ มีเหตุประการฉะนี้ เข้ามาสู่เราประการฉะนี้ เข้ามาแล้วตั้งอยู่ เสื่อมไปอย่างนี้ ท่านจึงเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเกิดอีก ไม่เอากับการกลับมาเกิดอีก เข็ดแล้ว ประมาณนี้ ญาณก็จะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึง ขั้น อาสวักขยญาณ คือการตรัสรูตามพระพุทธเจ้า สำเร็จ มรรค ผล นิพพาน ตามลำดับ

  สรุป ท่านที่ยังไม่มีศรัทธา ความเชื่อในเรื่อง ภพ ชาติ การปฏิบัติ ก็จะช้ามากขึ้นหากท่านมีความเชื่อเรื่องการเกิดอีก  เพราะยังไม่สิ้นกิเลสแล้ว ควรที่จะต้องเชื่อเรื่อง ภพ ชาติ ที่เป็น ภพ เป็น ภูมิ ด้วย

  เจริญธรรม / เจริญพร


-------------------------------------
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ ๒๖

หน้าต่างที่  ๓๖ / ๓๙.

              ๓๖. เรื่องพระวังคีสเถระ [๒๙๙]             
              ข้อความเบื้องต้น             
              พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระวังคีสะเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "จุตึ โย เวทิ" เป็นต้น.

              วังคีสพราหมณ์เป็นนักทำนาย             
              ได้ยินว่า พราหมณ์ในกรุงราชคฤห์คนหนึ่ง ชื่อวังคีสะ เคาะ (กะโหลก) ศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้วก็รู้ได้ว่า "นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในนรก, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเปรตวิสัย, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในมนุษยโลก, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเทวโลก."
              พวกพราหมณ์คิดว่า "พวกเราอาศัยวังคีสพราหมณ์นี้ ก็สามารถหากินกะชาวโลกได้" จึงให้เขานุ่งผ้าแดง ๒ ผืนแล้วพาเที่ยวไปชนบท กล่าวกะพวกมนุษย์ว่า "พราหมณ์ชื่อวังคีสะนั่น เคาะ (กะโหลก) ศีรษะ ของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว ก็รู้จักที่เกิด, พวกท่านจงถามถึงที่พวกญาติของตนๆ เกิดแล้วเถิด."
              พวกมนุษย์ให้กหาปณะ ๑๐ บ้าง ๒๐ บ้าง ๑๐๐ บ้าง ตามกำลังแล้ว จึงถามถึงที่พวกญาติเกิดแล้ว. พราหมณ์เหล่านั้นถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว ยึดเอาที่พักในที่ไม่ไกลแห่งพระเชตวัน
              พวกเขาเห็นมหาชนผู้บริโภคอาหารเช้าแล้ว มีมือถือของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น กำลังเดินไปเพื่อฟังธรรม จึงถามว่า "พวกท่านไปไหนกัน?" เมื่อมหาชนนั้นบอกว่า "ไปสู่วิหาร เพื่อฟังธรรม." จึงกล่าวว่า "พวกท่านจักไปในที่นั้นทำอะไร? บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังคีสพราหมณ์ของพวกเรา ย่อมไม่มี, เขาเคาะ (กะโหลก) ศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว ก็รู้ที่เกิดได้, พวกท่านจงถามถึงที่พวกญาติเกิดเถิด."
              มนุษย์เหล่านั้นกล่าวว่า "วังคีสะจะรู้อะไร? บุคคลผู้ทัดเทียมกับพระศาสดาของพวกเรา ไม่มี." เมื่อพวกพราหมณ์แม้นอกนี้ กล่าวว่า "บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังคีสะ ไม่มี, เถียงกันแล้ว๑- กล่าวว่า "มาเถิดบัดนี้ พวกเราจักรู้ว่าวังคีสะของพวกท่าน หรือพระศาสดาของพวกเรา มีความรู้" แล้วได้พราหมณ์เหล่านั้นไปสู่วิหาร.

เขายอมจำนนพระศาสดา             
              พระศาสดาทรงทราบว่าชนเหล่านั้นมา จึงรับสั่งให้นำ (กะโหลก) ศีรษะมา ๕ ศีรษะ คือ "ศีรษะของสัตว์ผู้เกิดในฐานะทั้ง ๔ คือ 'ในนรก ในกำเนิดดิรัจฉาน ในมนุษยโลก ในเทวโลก' ๔ ศีรษะ และ (กะโหลก) ศีรษะของพระขีณาสพ" รับสั่งให้วางไว้ตามลำดับ ในเวลาที่วังคีสะมาแล้ว จึงตรัสถามวังคีสะว่า "ทราบว่า ท่านเคาะ (กะโหลก) ศีรษะแล้ว รู้ที่เกิดของสัตว์ทั้งหลายผู้ตายแล้วหรือ?"
              วังคีสะ. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์รู้ได้.
              พระศาสดา. นี้ (กะโหลก) ศีรษะของใคร?
              เขาเคาะ (กะโหละ) ศีรษะนั้นแล้ว กราบทูลว่า "ของสัตว์ผู้เกิดในนรก."
              ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่เขาว่า "ดีละ" จึงตรัสถามถึงศีรษะทั้ง ๓ นอกนี้ ในขณะที่เขากราบทูลแล้วๆ ไม่ผิด ก็ประทานสาธุการเหมือนอย่างนั้น จึงทรงแสดง (กะโหลก) ศีรษะที่ ๕ ตรัสถามว่า "นี้ (กะโหลก) ศีรษะของใคร?" เขาเคาะ (กะโหลก) นั้นแล้ว ไม่รู้ที่เกิด. ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า "วังคีสะ ท่านไม่รู้หรือ?" เมื่อเขากราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้" จึงตรัสว่า "ฉันรู้."
              วังคีสะ. พระองค์ทรงทราบด้วยอะไร?
              พระศาสดา. ทราบด้วยกำลังมนต์.
              ลำดับนั้น วังคีสะทูลวิงวอนพระองค์ว่า "ขอพระองค์จงประทานมนต์นี้แก่ข้าพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า "เราไม่สามารถจะให้มนต์แก่บุคคลผู้ไม่บวชได้."

              วังคีสะบวชเพื่อเรียนพุทธมนต์             
              เขาคิดว่า "เมื่อเราเรียนมนต์นี้แล้ว เราก็จักเป็นผู้ประเสริฐในชมพูทวีปทั้งสิ้น" จึงส่งพราหมณ์เหล่านั้นไป ด้วยคำว่า "พวกท่านจงอยู่ในที่นั้นนั่นแหละสิ้น ๒-๓ วัน ฉันจักบวช" แล้วได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระศาสดา ได้เป็นผู้มีนามว่าวังคีสเถระ.
              ลำดับนั้น พระศาสดาประทานกัมมัฏฐานมีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์แก่เธอแล้ว ตรัสว่า "เธอจงสาธยายบริกรรมมนต์."

ขอแทรก กรรมฐานมีอาการ 32 นี้ เป็นกรรมฐาน กายคตาสติ นั้นขึ้นสูง แต่ ในกรรมฐาน มัชฌิมา ถูกบรรจุไว้ในพระธรรมปีติ ตั้งแต่ พระขุททกาปีติ ธาตุดิน มีเกสาเป็นต้น


              พระเถระบรรลุพระอรหัต             
              พระวังคีสเถระนั้นสาธยายมนต์อยู่ ถูกพวกพราหมณ์ถามในระหว่างๆ ว่า "ท่านเรียนมนต์ได้แล้วหรือยัง?" จึงบอกว่า "พวกท่านจงรอก่อน, ฉันกำลังเรียน."
              ต่อกาล ๒-๓ วันเท่านั้นก็ได้บรรลุพระอรหัต ถูกพราหมณ์ทั้งหลายถามอีก จึงกล่าวว่า "ท่านผู้มีอายุ บัดนี้ ฉันไม่ควรเพื่อจะไป."
              พวกภิกษุได้ยินคำนั้นแล้ว จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า พระวังคีสเถระนี้ พยากรณ์พระอรหัตผล ด้วยคำไม่จริง."
              พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวอย่างนั้น. ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ บุตรของเราฉลาดในการจุติและปฏิสนธิแล้ว"
              ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
                        ๓๖.    จุตึ โย เวทิ สตฺตานํ      อุปปตฺติญฺจ สพฺพโส
                            อสตฺตํ สุคตํ พุทฺธํ      ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.
                            ยสฺส คตึ น ชานนฺติ      เทวา คนฺธพฺพมานุสา
                            ขีณาสวํ อรหนฺตํ      ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.
                                      ผู้ใด รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายโดย
                            ประการทั้งปวง, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่ข้อง ไปดี
                            รู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์.
                                      เทพยดา คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ ย่อมไม่
                            รู้คติของผู้ใด, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีอาสวะสิ้นแล้ว
                            ผู้ไกลกิเลสว่า เป็นพราหมณ์.

              แก้อรรถ             
              บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า โย เวทิ เป็นต้น ความว่า ผู้ใดรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวงอย่างแจ้งชัด๑- เราเรียกบุคคลผู้นั้น ซึ่งชื่อว่าไม่ข้อง เพราะความเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง ชื่อว่าไปดีแล้ว เพราะความเป็นผู้ไปดีแล้วด้วยการปฏิบัติ ชื่อว่าผู้รู้แล้ว เพราะความเป็นผู้รู้สัจจะทั้ง ๔ ว่า เป็นพราหมณ์.
              บทว่า ยสฺส เป็นต้น ความว่า เทพดาเป็นต้นเหล่านั้นไม่รู้คติของผู้ใด, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งชื่อว่ามีอาสวะสิ้นแล้ว เพราะความที่อาสวะทั้งหลายสิ้นแล้ว ชื่อว่าผู้ไกลกิเลส เพราะความเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายว่า เป็นพราหมณ์.
              ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
____________________________
๑- ปากฏํ กตฺวา ทำให้ปรากฏ.

              เรื่องพระวังคีสเถระ จบ.




-------------------------------------


มีบางท่าน เข้าใจว่า การรู้อดีต อนาคต ก็คือการ รู้อดีตชาติ อนาคตชาติ การรู้อย่างนี้ไม่ใช่ อาสวักขยญาณ
การรู้อย่างนี้ ยังเป็นส่วนของโลกียะ ไม่ใช่ โลกุตตระ

  แต่หากการรู้อดีต อนาคต แล้ว เห็น อนิจัง ทุกขัง อนัตตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ เสื่อมไป การรู้อย่างนี้เป็นธรรมอันยอดเยี่ยม เป็นไปเพื่อ นิพพายะ เพื่อ มรรค เพื่อ ผล และ นิพพาน

  การเห็นตามความเป็นจริง เท่านั้น ที่จะทำให้บรรลุธรรม ด้วยใจ....

  เมื่อรู้แล้ว ก็ เบื่อหน่าย 

  เบื่อหน่าย แล้ว ก็ คลายกำหนัด
 
  เมื่อคลาย กำหนัด ก็คลายตัณหา

  เมื่อคลาย ตัณหา ก็คลายอุปาทาน

  เมื่อคลาย อุปาทาน จิตก็เข้า สู่ วิราคะ คือ พ้นด้วยการรู้แจ้ง

  ญาณ ก็ปรากฏ
 
  สัจจะกิจจัง รู้กิจที่ควรทำให้แจ้งด้วย อำนาจแห่งปัญญา

  พรหมจรรย์นี้สมบูรณ์ ถึงพรหมจรรย์ คือ ผล

  จึงรู้ว่า กิจอื่นยิ่งกว่า นี้ไม่มีอีกแล้ว .... กิจ ในพระศาสนานี้ เสร็จสิ้นแล้ว เราเป็นผู้ไม่เวียนกลับมาเกิดด้วยอำนาจ แห่งความไม่รู้ ต่อไป

------------------------------------
บางครั้ง การเชื่อเรื่อง วิญญาณ โอปปาติกะ นั้นก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ขาดเหตุผล เพียงแต่การเห็นธรรมในส่วนนี้อาจจะยังไม่พอ สมัยครั้งพุทธกาลนั้น ก็มีลัทธิ มากมาย ก็ล้วนแล้วแต่เห็นและมีความเชื่อ ในเรื่อง เทพเจ้า โอปปาติกะ แต่ท้ายที่สุดก็จะไปจบตรงคำอ้อนวอน ขอให้เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายเหล่านั้นบันดาล สุข ให้ตน

  สำหรับพระพุทธศาสนา นั้นพระพุทธเจ้า ให้พึ่งตนเอง และตนเองเป็นผู้บันดาลให้ตน คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และเชื่อผลบุญ ผลบาป ผลการปฏิบัติ โดยเฉพาะการอุบัติของพระพุทธเจ้าก็เพื่อมวลมนุษย์ชาติ ที่มีปัญญาปรารถนาการไม่กลับมาเกิดอีกต่างหาก อันนี้จึงเป็นของแท้ ธรรมแท้ ๆ ในพระพุทธศาสนา ดังนั้นบรรดา พุทธบริษัท ที่เชื่อในพระพุทธเจ้า จึงได้บำเพ็ญเพียรเพื่อการไม่กลับมาเกิด นี้กันเป็นหลัก....

  ของแท้ และ ของไม่แท้ มักมีอยู่ปนเปกันไป จะแท้ทั้งหมด ก็ิมิได้ จะเท็จทั้งหมดก็มิใช่ ในหมู่นักปฏิบัติจึงมีทั้งที่เป็นผู้ภาวนาเพื่อธรรมแท้ และ มีผู้ภาวนาเพื่อการอยู่รอด

  ดังนั้นถ้าไปมองผู้อื่นมาก ก็จะลืมตนเอง มองตนเอง มาก ก็จะไม่เห็นผู้อื่น ทุกอย่างต้องมีความสมดุลย์ด้วยจึงจักมองเห็นตามความเป็นจริงได้

  เจริญธรรม