มื่อก่อน ที่ฉันเรียนธรรมะ ไปฟังธรรมะ ไปร่วมปฏิบัติ

เริ่มโดย kai, ส.ค 01, 2023, 05:26 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

"เมื่อก่อน ที่ฉันเรียนธรรมะ ไปฟังธรรมะ ไปร่วมปฏิบัติ ธรรมที่สวนโมกขบ้าง วัดชลประทาน สวนอิทัปปัจจยตา และหรืออีกหลายที่ ๆ ไป ฉันมักตื่นเต้น เสมอ ๆ มีความยินดี ว่าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม นักภาวนา หลายครั้งที่ใช้วาทะ ว่าเราเป็นผู้ภาวนา และ พยายามให้คนรู้ว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติภาวนา เป็นชาวธรรม ไปที่ไหน ต้องกล่าววาทะ ทางธรรม เสมอ ๆ บางครั้งจนลืมที่จะฟัง คนอื่นพูดให้ฟัง มันมีความกระหยิ่ม ยิ้มย่องว่า เรานีเลิศ ด้วยคุณธรรม จึงมีวาทะ ทางธรรมเป็นอย่างมาก พูดครั้งหนึ่ง คนนั่งฟัง เป็นร้อย บางครั้งร่วมพัน ทุกคนฟังฉันพูดอย่างเงียบหลาย ชั่วโมง เป็นเช่นนี้หลายครั้งที่ได้รับนิมนต์ไปบรรยายธรรม แสดงธรรม ไม่ว่าจะเป็นชุมชน หน่วยงานราชการ สถานที่การศึกษา วัด สถานที่จัดกิจกรรม ทางพุทธศาสนา จนฉันติดกับ เหล่ามาร ไม่รู้ตัว และเพลิดเพลิน กับวาทะ ที่เรียกว่า ธรรมะ ในขณะนั้น จนมีความรู้สึกว่า เรารู้มากกว่า คนอื่น พอไปเจอคนที่รู้มาก ก็มีความรู้สึกว่า เรารู้น้อยกว่า คนอื่น พอไปเจอคนที่พอกัน ก็มีความรู้สึกว่า เราเสมอเขา ความรู้สึกเหล่านี้ มันหลอกเราหลายชั้น ด้วยวาทะ บ้าง ด้วยความเข้าใจไปเองบ้าง ยามที่นักรบไม่เคยเข้าสู่สงคราม จริง ๆ ก็คิดว่าตนเองเก่ง เป็นเช่นนี้จริง ๆ พอฉันได้เข้าสถานะ ที่ต้องต่อกรกับกิเลส ตรง ๆ มี ราคะ โทสะ และ โมหะ เหล่านี้ ตอนนั้นฉันจึงรู้ถึงสิ่งที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่า แท้ที่จริง ที่ฉันรู้มาตลอดนั้น มันเป็นความหลง เมื่อ ราคะเข้ามา ก็ต้านทานไม่ได้ เมื่อ โทสะ เข้ามาก็ต้านทานไม่อยู่ เมื่อโมหะ ก็ต้านไม่ไหว เมื่อมันมีมาก ๆ ก็ถึงวิกฤต ความรุ่มร้อน นอนก็เป็นทุกข์ นั่งก็เป็นไฟ ยืนอยู่ ทุรนทุราย เดินพลุ่นพล่าน เพราะไฟราคะ โทสะ โมหะ มันแผดเผา สิ่งที่ฉันรู้มาเป็นเพียงแค่คำปลอบใจ สำหรับฉันเท่านั้น จริง อยู่ถึงฉันไมไ่ด้แสดง ออก ว่ามีราคะเข้าบังตาบังใจ ว่าถูกเพลิงโทสะครอบงำ หลงทางเพราะโมหะ แต่ ใจฉันลึก ๆ นั้น รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ ต่อเหล่ามาร จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เพราะพลังแห่งมาร สรรพวิชา ทั้งหลาย แทบจะใช้ไม่ได้เลย คำสอนครูอาจารย์ ที่ติดตามฟัง มาหลายปี นึกไม่ออก ว่าต้องใช้อย่างไร ทำอย่างไร แต่อาจจะเพราะมีวาสนาอยู่บ้าง ที่ฉัน นึกออก มีเพียงอย่างเดียว ขณะนั้น คือ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เท่านั้น ไม่มีวิชาอื่น ๆ ที่ฉันจะนึกออก เลยในยามที่ฉันต้องเผชิญเหล่ามารทั้งหลาย ที่มันราวี กลุ้มรุมจิตใจ ที่ร้อนรน กระสับกระส่าย ตอนนั้นฉันทำได้แค่ ฉันนั่งนึก นอนนึก ยืนนึก เดินนึก พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไปอย่างนั้น ทั้่งวัน ทั้งคืนเป็นเวลา อยู่หลายวัน จนถึงจุดหนึ่ง ฉันก็รู้ว่า สิ่งที่ฉันรู้มานั้นทั้งหมด เป็นเพียงเหตุปัจจัย ไปสู่เหตุปัจจัยหนึ่ง เมื่อเหตุปัจจัยหนึ่ง เกิด เหตุปัจจัยหนึ่งก็ดับไป เมื่อเหตปัจจัยหนึ่งดับ เหตุปัจจัยสองก็เกิดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยสองเกิด เหตุปัจจัยสองก็ดับไป และ เหตุปัจจัยอื่น ๆ ก็เกิดต่อมา ผลการระลึกถึงพุทโธ ในวันนั้น ทำให้ฉันไม่ค่อยพูด และพูดน้อยลง และไม่เคยเรียกตัวเองว่า ชาวธรรม หรือ นักธรรม หรือผู้ภาวนา ตั้งแต่นั้นมา สิ่งที่ฉันได้ในขณะนั้น คือการวางจิตเป็นกลาง ไม่ดีเลิศ ไม่ต่ำต้อย ไม่เสมอใคร เพราะไม่มีใครจะเปรียบ และไม่ไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะ ตัวฉันเองรู้ความจริงว่า ฉันก็เป็นเพียงเหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้าจะให้ฉันสอนจริง ๆ แล้วก็สอน แค่ พุทโธ นั่นแหละ ไม่มีอะไรมาก ไม่ต้องรู้อะไร มาก ที่จะต้องรู้ คือ จะต้อง รู้ พุทโํธ อย่างต่อเนื่อง ฉันไปที่ไหน ในตอนนี้ล้วนแล้วเป็นเพียงแค่ผู้ฟัง เท่านั้น ....."
ข้อความส่วนหนึ่งจาก หนังสือเพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา และ การเดินทาง ของธัมมะวังโส