ตราบใดที่ยังมีผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันอยู่ ตราบนั้นพระอรหันต์จะไม่สิ้นไปจากโลก

เริ่มโดย kai, ส.ค 03, 2023, 07:59 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

เหตุเกิดเพราะมีคำถามจากหลายท่านว่า...
ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตอยู่อย่างไรก่อน ที่จะต้องการออกบวช และทำอย่างไร จึงได้อารมณ์เป็นผู้ต้องการออกบวช

ดังนั้นจึงจะเล่าการภาวนาที่ผ่านมาเพื่อเป็นเครื่องส่งเสริมความศรัทธา ให้ท่านทั้งหลายผู้ที่กำลังมีความเพียร ให้ไม่รู้สึกว่าการภาวนาเป็นเรื่องยาก และ ปฏิบัติไม่ได้นั้น เพื่อทำลายความคิดเช่นนี้ออกไป เพราะถ้าทุกท่านคิดว่าการภาวนาเป็นเรื่องยาก ลำบาก เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ จะเป็นเหตุให้ส่งผลเป็นนิสัยไปชาติภพต่อไปด้วย ความยากลำบากก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจนกระทั่ง แม้ได้เจอพระพุทธศาสนาอีก ก็จะเพียงทำได้เพียงแค่การไหว้ แล้วผ่านไปเหมือนพวกคนชาวต่างชาติ ที่มาไหว้กันแล้วก็จากไป จึงเป็นเหตุให้ผมผู้ห่วงใยเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันทุกท่าน ขอให้ท่านมีจิตตั้งมั่นในธรรมอย่างเหนียวแน่น เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า

"ตราบใดที่ยังมีผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันอยู่
ตราบนั้นพระอรหันต์จะไม่สิ้นไปจากโลก" และ

"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต"
ขึ้นชื่อว่าการปฏิบัติธรรม ในพระพุทธศาสนา ย่อมมีเป้าหมาย แตกต่างกันตามระดับ ดังนี้

• การปฏิบัติธรรม เพื่อความเป็นเทวดา เพื่อเป็น หรือ ไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า เป็นเป้าหมายชั้นต้น อันนี้เกิดจากรักษา ศีล และ ให้ทาน เรียกว่า "ทานศีลภาวนา" ในความเข้าใจของผม ศัพท์ทางธรรม เรียกว่า ทานมัย และ สีลมัย

• การปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ หรือ เป็นพระพุทธเจ้า คือผู้บำเพ็ญบารมี 30 ทัศ อย่างเหนียวแน่น ซึ่งผู้ปฏิบัติเช่นนี้ ย่อมเป็นผู้ต้องการอยู่ในพุทธภูมิ หัวข้อนี้จะไม่ขอกล่าวเพราะว่าเป็นเรื่องของบุคคลที่ความปรารถนาอย่างสูง เพราะต้องมีการบำเพ็ญบารมี 3 ระดับ คือ  1.สามัญญะบารมี
    2.อุปะบารมี และ
    3.ปรมัตถะบารมี จึงจะสมบูรณ์ได้

• การปฏิบัติธรรม เพื่อความเป็นพรหม คือปฏิบัติ เพื่อเป็น หรือ ไปเกิดเป็นพรหม เป็นเป้าหมายชั้นกลาง อันนี้เกิดจากการบำเพ็ญจิต ให้ตั้งมั่น เรียกว่า "สมาธิภาวนา" ในความเข้าใจของผม ศัพท์ทางธรรมเรียกว่า ภาวนามัยชั้นต้น

• การปฏิบัติธรรม เพื่อความเป็นพระอรหันต์ คือปฏิบัติเพื่อ ละสิ้นจาก ภพ จาก ชาติ จากการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏ เป็นเป้าหมายชั้นสูงของพระสาวก หรือเรียกง่าย ๆ ว่า สาวกภูมิ คือผู้ที่ต้องการเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน อันนี้เกิดจากการบำเพ็ญ จิตให้สูงให้ละสิ้นจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน เรียกว่า "วิปัสสนาภาวนา" ในความเข้าใจของผม ศัพท์ทางธรรมเรียกว่า ภาวนามัยชั้นสูง เพราะประกอบด้วยการทำไว้ในใจโดยความแยบคาย และ ตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน ทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจ เข้า และ ออก ด้วยความเพียรที่สม่ำเสมอ

ดังนั้นไม่ว่าท่านจะปฏิบัติธรรมด้วยเหตุผลใด ย่อมมีเป้าหมายเกื้อกูล และรวมกันไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวคือพระนิพพาน ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเริ่มแบบไหนหรือปฏิบัติด้วยเหตุผลใดก็ไม่มีความผิด ควรจะอนุโมทนากับการปฏิบัติธรรมทั้ง 4 แบบนั้น

ส่วนการเข้าถึงธรรม ชั้นสูง ครูบาอาจารย์ ที่มาสอนผมนั้นท่านบอกว่าต้องทำให้ สมบูรณ์ ทั้ง 3 ประการ คือ ต้องประกอบ ด้วย ศีล สมาธิ และ ปัญญา พร้อมกับต้องดำเนินการภาวนาด้วยความเหมาะสม ไม่ตึง หรือ ไม่หย่อน ซึ่งท่านกล่าวเรียกว่า ทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งที่สำคัญที่สุด ของการทำวิปัสสนา นั้น ต้องมีอารมณ์ความรู้สึกแบบ สาวกภูมิ คือ เป็นผู้เบื่อหน่ายในสังสารวัฏ คือการเวียนว่าย ตายเกิด ทั้งสภาวะจิต และทั้งสภาวะภพ โดยมีอารมณ์ ดังนี้

• เห็นว่าการเกิดทั้งสภาวะ และ ภพ เป็นทุกข์ นำมาซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งทางสภาวะ และ ภพ

• มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ไม่มีความสงสัยต่อคุณของพระรัตนตรัย พิจารณาเห็นด้วยปัญญา และเคารพต่อพระรัตนตรัย อย่างเชื่อมั่น ไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน

• ต้องมีใจนึกถึงความตาย ที่มีอยู่กับเรา และ ฉลาดด้วยการมองเห็น แท้ที่จริง กายก็ไม่มี เป็นของน่าเกลียด น่าชัง เป็นรังแห่งโรค เป็นที่รวม และที่ตั้ง แห่งกองทุกข์ทั้งปวง เป็นต้นตอ แห่งกิเลสทั้งหลาย และรู้ซึ้งถึง "คุณ และ ค่า" ของลมหายใจเข้า และ ออก
ถ้าอารมณ์ ทั้ง 3 นั้นไม่ปรากฏขึ้นเลย การภาวนาชั้นสูง ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะไม่มีมูลเหตุให้ต้องมาทำการภาวนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ตัดมาจาก หนังสือ "ภาวนากถา"
ที่ระลึกในการอุปสมบถ ของ ธัมมะวังโส