ทำไมการทำหน้าที่ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ครับ ขอเหตุผล หน่อย อย่าแถ ข้าง ๆ คู นะครับ

เริ่มโดย kai, ส.ค 03, 2023, 07:53 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

ถาม ทำไมการทำหน้าที่ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ครับ ขอเหตุผล หน่อย อย่าแถ ข้าง ๆ คู นะครับ ผมอ่านโพสต์ที่แล้วรู้สึกขัดใจ

ตอบ นี่เป็นเพราะว่า พวกท่านทั้งหลาย ฟังธรรมไม่จบ ฟังเพียงส่วนเดียว ไม่รู้เนื้อหาทั้งหมด เจตนาของผู้แสดงธรรมว่า ธรรมะคือ หน้าที่ นั้นมันเห็นหัวข้อเดียว จากสี่ความหมาย ที่เขาให้ไว้ คนที่สอนแบบนี้ ก็คือ หลวงพ่อพุทธทาส และฉันก็ได้ยินหลวงพ่อพุทธทาสสอน ตลอดถึงครูอาจารย์ ที่ดูแลฉันส่วนใหญ่ ก็จะสอนอย่างนี้ สอนให้ไปทำงาน ทำหน้าที่แล้วเป็นการปฏิบัติธรรม
คำว่า ธรระคือ หน้าที่ ( duty for duty ) ฉันได้ยินมาตั้งแต่ สามเณร และหลวงพ่อปัญญา ท่านก็สอน อีกว่า
ทำงานให้สนุก เป็นสุขกับการทำงาน
( Aciton for enjoy , Happy in work all time )

ความคิดของฉันไม่ได้ย้อนแย้งว่า ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมเพราะรู้ดีว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรม ที่เป็นสติสัมปชัญญะ อาศัยสภาวะขณะปัจจุบัน เรื่องแรก คือ ข่มกลั้นจากกิเลส อดทนต่อกิเลส เรื่องที่สอง คือละกิเลส ชั่วคราว เรื่องที่สาม สละกิเลสสิ้นเชิง

ในความหมายนี้ ธรรมะคือหน้าที่ไปไม่ถึงคำว่า สละกิเลสได้สิ้นเชิง เพราะว่าพอฉันเริ่มมีอายุมากขึ้น จึงมองเห็นว่า การทำหน้าที่ ถึงจะทำหน้าที่ให้ดีเท่าไหร่ ก็ไปไม่ถึง คำว่า สละกิเลสโดยสิ้นเชิง
ในโลกนี้ มีใครไม่ทำหน้าที่บ้าง

พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา ราชการ ลูกจ้างเอกชน นักเรียน นักศึกษา พระ สามเณร แม่ชี เป็นต้น เหล่านี้ มีใครไม่ทำหน้าที่บ้าง หลาย ๆ ท่านก็หน้าที่จนตาย อย่างทหารเขาก็ทำหน้าที่ ไปรบจนตาย เป็นร้อย เป็นพันศพ แล้วมีใครได้บรรลุพระอรหันต์ เพราะทำหน้าที่
คำตอบไม่ต้องหา หรอก ไม่มี ? แม้แต่คนที่ดำรงศีล อย่าง พระ ที่ตายอย่างพระ ก็มากมายที่ทำหน้าที่วาระสุดท้าย ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ มีมากมาย ถึงแม้จะเป็นอนุมาน แต่ที่ประสบการณ์มานั้น ไม่มีแน่นอน เพราะอะไร เพราะการทำหน้าที่นั้น มีแค่ สามองค์มรรคเท่านั้น คือ สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา ซึ่งเป็นระบบ ของศีล เป็นหลัก และคำสอนที่ควรสอนมากที่สุดในยุคนี้ ก็คงจะเป็นเรื่อง ศีลธรรม สายสวนโมกข ส่งพระออกไปสอน ก็จะเน้นเรือ่งนี้ โดยมี สโลแกน ว่า

"ศีลธรรม ไม่กลับมา โลกาจะวินาศ ถ้าศีลธรรมระบาด โลกธาตุ จะร่มเย็น "

ในสมัยนั้น ตัว ธัมมะวังโส เองก็ร่วมไปกับกลุ่มนักสอน ที่เรียกว่า พระใจสิงห์ ไม่ว่าจะเป็นงาน แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง งานพัฒนา งานอมรมจริยธรรม ศีลธรรม ก็ไปร่วมบ่อย เป็นร้อย ๆ งานในตอนนั้นเดินทางตามจังหวัดต่าง ๆ มากอยู่ ในขณะเดียวกัน ก็โดนด่าไปพร้อม โดยเฉพาะเรื่อง การฉันในบาตร การสวดมนต์แปล การนอนในกลด อะไรประมาณนี้ จะโดนด่าไปด้วย โดนทั้งหมด
แต่พอมาอายุ เข้าหลัก 38 ปี ย่างเข้า 39 ปี เริ่มรู้สึกว่า ไม่ถูกทาง แล้วเพราะว่า มันมีความคิดที่สงบก็จริง แต่ในใจมันกรุ่น จริงอยู่ว่าอยู่ในสถานการณ์ ที่ไม่ดี ถูกทำร้ายก็มี โดนด่าก็มี สภาพภายนอกนี้อภัยให้ และไม่โกรธไม่โต้ตอบ แต่ลึก ๆ นี่ ก็ไม่ยอม รับ และรู้สึกว่า ขัดเคือง และ พยาบาท คิดอยากจะโต้กลับ แต่ตัวข่มกลั้น อดทนมีมากกว่า มันก็เลยเหมือนว่า เราไม่โกรธคนภายนอกเห็นก็คือไม่โกรธ แต่ตัวเอง หรือดูเองว่า มันยังโกรธอยู่ ยังขัดเคืองอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออก แล้วอย่างนี้จะชื่อว่าบรรลุคุณธรรมได้อย่างไร
เมื่อระลึกได้อย่างนี้ คิดได้อย่างนี้ มองเห็นได้อย่างนี้ จึงรู้ว่า สิ่งที่ดำเนินมานั้นมันขาด ถ้าอย่างนี้มันแค่อยู่กับชาวโลกได้ แต่มันยังอยู่ในสังสารวัฏ ไม่พ้นจากกิเลส ไม่ดับกิเลสอย่างสิ้นเชิง ก็มาสำรวจตนเองว่าขาดอะไรไป
พอปีนั้นมานึกอย่างนี้ ก็เกิดเหตุการณ์ กับตัวเอง อยู่ ๆ ก็ป่วยกระทันหัน ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ และในที่สุดก็ต้องไปนอน รพ. ( นี่เป็นเรือ่ง ที่เคยเล่าไปแล้ว ดังนั้นจะไม่เล่าซ้ำตรงนี้ )
ครั้นออกจาก รพ. มา ความคิดมันเปลี่ยนหมด กลายเป็นว่ากลับมาสนใจเรื่องการฝึกสมาธิ ทั้ง ๆที่เมื่อก่อน ด่าพวกฝึก สมาธิ ไว้เยอะ เลย

เอาเป็นว่า ใครจะเห็นว่า การทำงานเป็นการปฏิบัติ ก็ตามใจเถอะ สำหรับ ธัมมะวังโส ตอนนี้คือไม่ใช่ การเปลี่ยนแปลงทิฏฐิ อย่างนี้มันไม่ต่างอะไร จาก ธัมมะวังโส ที่ต้องใช้เวลา ถึง 38 ปี ถึงเปลี่ยนได้ จะให้มาอธิบายเพียงสองสามนาที แล้วคุณจะมาเปลี่ยนตามได้ คงยาก ดังนั้นขอข้ามก็แล้ว คุณอยากจะเชื่ออย่างนั้นก็เชื่อไป เพราะอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่สมควรจนสุดทางที่คุณควรจะรู้ นั้นมันก็จะรู้ได้เองด้วยปัญญาที่สั่งสมกันมา

จึงไม่มีประโยชน์อะไรในการตอบคำถามอย่างนี้มากนัก



เจริญธรรม / เจริญพร