ในความว่างเปล่า ไม่มีอะไร ให้ยึดถือ

เริ่มโดย kai, ส.ค 03, 2023, 07:37 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

ชีวิต ของคนทั่วไป ที่ยังต้องผูกติดอยู่กับโลก นั้น มันมีขึ้น และ มีลง
เวลาขาขึ้น ก็มีความสุข เวลาขาลง ก็มีความทุกข์ ดังนั้น การเผยแพร่ธรรมะสู่คนเหล่านี้ จึงนิยมสอนการใช้ สติ ซึ่งจะได้ผลดี ปัจจุบันจึงมีคนจำนวนมาก ใช้การเจริญสติ + สังขาร ( เขาเข้าใจว่าเป็นปัญญา ) จึงทำให้การภาวนา ได้ผลอยู่ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเขาเจริญ สติ ไปมากขึ้น ก็ย่อมถึงแก่น เพราะตื่น จากการหลับไหล  นั่นเอง (เป็นจุดเริ่มต้นไปสู่การภาวนาขั้นสูงต่อไป)

  แต่สำหรับพระอริยะนั้น ไม่ผูกใจกับ ขาขึ้น หรือ ขาลง เพราะพระอรยะย่อมเห็นแจ้ง่ว่า ที่มี ที่เป็น ที่ไม่ม่และไม่เป็น จะมีแต่ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และ อนัตตา จิตของพระอริยะนั้นจะมองเห็นว่า ทั้งขาขึ้น และ ขาลง เป็นเพียงสักว่า เท่านั้น และ รู้เห็นตามความเป็นจริง ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งที่เกิด กระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเพียง รูปที่ว่างเปล่า เสียงที่ว่างเปล่า กลิ่นที่ว่างเปล่า รสที่ว่างเปล่า สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ที่ว่างเปล่า แม้ อารมร์ ที่เกิดกับใจอันเป็นอุเบกขา เพราะความปล่อยวาง ก็เพียงความว่างเปล่า จิตมองเห็นอย่างนั้น มองเห็นสิ่งใด สภาวะใด แม้เรียกว่า สภาวะธรรม ก็หาได้ยึดมั่นถือมั่นมาเป็นอารมณ์ ใด ๆ ได้

   ในความว่างเปล่า ไม่มีอะไร ให้ยึดถือ แม้แต่ ตัวเอง ก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือ กายนี้ก็สักว่า เป็นความว่างเปล่า เป็นเพียงเหตุปัจจัย ให้เกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น ตั้งอยู่อย่างนั้น และ ดับลงไปเช่นนั้น


 เจริญธรรม / ้ เจริญพร