ธรรมะสาระวันนี้ "การเจริญมรณัสสติ อย่างพุทธ แบบ ปัญญาวิมุตติ"

เริ่มโดย kai, ส.ค 05, 2024, 03:37 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

ธรรมะสาระวันนี้ "การเจริญมรณัสสติ อย่างพุทธ แบบ ปัญญาวิมุตติ"

พระสุตตันตปิฎก  อังคุตตรนิกาย  อัฏฐกนิบาต  [๒.ทุติยปัณณาสก์]
๓.ยมกวรรค  ๓.ปฐมมรณัสสติสูตร
เล่มี่ 23 หน้า 382 - 385   

            ๓. ปฐมมรณัสสติสูตร
            ว่าด้วยการเจริญมรณัสสติ๑สูตรที่ ๑
            [๗๓]สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ คิญชกาวสถาราม ในนาทิกคาม ณ ที่นั้นแล    พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า    "ภิกษุทั้งหลาย"    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว    พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
            "ภิกษุทั้งหลาย    มรณัสสติที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก    หยั่งลงสู่อมตะ    มีอมตะเป็นที่สุด    เธอทั้งหลายเจริญมรณัสสติอยู่หรือไม่"
            เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว    ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    แม้ข้าพระองค์ก็ยังเจริญมรณัสสติอยู่"
            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุ    เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร"
            ภิกษุกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า 'โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้คืนหนึ่งและวันหนึ่ง    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'    ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"ภิกษุอีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    แม้ข้าพระองค์ก็ยังเจริญมรณัสสติอยู่"
            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุ    เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร"
            ภิกษุกราบทูลว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ในเรื่องนี้    ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้วันหนึ่ง    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'    ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
            ภิกษุอีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็ยังเจริญมรณัสสติอยู่"
            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุ    เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร"
            ภิกษุกราบทูลว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ในเรื่องนี้    ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้กึ่งวัน    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'    ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
            ภิกษุอีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    แม้ข้าพระองค์ก็ยังเจริญมรณัสสติอยู่"
            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุ    เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร"
            ภิกษุกราบทูลว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ในเรื่องนี้    ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'    ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
            ภิกษุอีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    แม้ข้าพระองค์ก็ยังเจริญมรณัสสติอยู่"
            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุ    เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร"
            ภิกษุกราบทูลว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ในเรื่องนี้    ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะฉันบิณฑบาตครึ่งหนึ่ง    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'    ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
            ภิกษุอีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    แม้ข้าพระองค์ก็ยังเจริญมรณัสสติอยู่"
            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุ    เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร"
            ภิกษุกราบทูลว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ในเรื่องนี้    ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวกินคำข้าว    ๔-๕    คำ    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'    ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
           ภิกษุอีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    แม้ข้าพระองค์ก็ยังเจริญมรณัสสติอยู่"
            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุ    เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร"
            ภิกษุกราบทูลว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ในเรื่องนี้    ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวกินคำข้าว    ๑    คำ    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'    ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"

            ภิกษุอีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    แม้ข้าพระองค์ก็ยังเจริญมรณัสสติอยู่"

            พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า    "ภิกษุ    เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร"
            ภิกษุกราบทูลว่า    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ในเรื่องนี้    ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะหายใจเข้าหายใจออก    หรือหายใจออกหายใจเข้า    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"

            เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว    พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสว่า    "ภิกษุทั้งหลาย    ภิกษุรูปที่เจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้คืนหนึ่งและวันหนึ่ง    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'

            ภิกษุรูปที่เจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้วันหนึ่ง    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'ภิกษุรูปที่เจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้กึ่งวัน    เราพึงมนสิการถึงคำของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'

            ภิกษุรูปที่เจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'

            ภิกษุรูปที่เจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะฉันบิณฑบาตครึ่งหนึ่ง    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'

            ภิกษุรูปที่เจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวกินคำข้าว    ๔-๕    คำ    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'

            ภิกษุทั้งหลาย    เรากล่าวว่าภิกษุทั้ง    ๖    รูปนี้    ยังเป็นผู้ประมาทอยู่    เจริญมรณัสสติอย่างเพลาเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย

            ภิกษุทั้งหลาย    ส่วนภิกษุรูปที่เจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวกินคำข้าว    ๑    คำ    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเราพึงทำกิจให้มากหนอ'

            และภิกษุรูปที่เจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า    'โอหนอ    เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะหายใจเข้าหายใจออก    หรือหายใจออกหายใจเข้า    เราพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค    เราพึงทำกิจให้มากหนอ'

            ภิกษุทั้งหลาย    เรากล่าวว่าภิกษุทั้ง    ๒    รูปนี้เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่    เจริญมรณัสสติอย่างแรงกล้าเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย

            เพราะเหตุนั้นแล    เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า    'เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่    จักเจริญมรณัสสติอย่างแรงกล้าเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย'
            ภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล"
               ปฐมมรณัสสติสูตรที่ ๓ จบ



ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.tumsrivichai.com