อยู่ในโลกให้เป็น ก็จะเป็นสุขได้

เริ่มโดย kai, ก.ค 31, 2023, 06:19 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

kai

โลกนี้มีคนอยู่ 3 พวก
1. ยินดีชื่นชมกับตัวเรา ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข
2. อิจฉาตาร้อนไม่อยากให้เราได้ดี ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข
3. เฉย ๆ ไม่สนใจ ไม่ว่าจะทุกข์ หรือ สุข
การวางจิตเป็นกลาง ต้องรู้ส่วนนี้เพื่อจะได้ละโลกธรรม
ไม่ยินดีในยศ ก็ไม่ถูกไฟเผา
ไม่ยินดิในลาภ ก็ไม่ถูกหินทับ
ไม่ยินดิีในสรรเสริญ ก็ไม่ถูกลมพัด
ไม่ยินดีในสุข ก็ไม่ถูกน้ำท่วม
ยศท่านเปรียบเหมือนไฟ มีแล้วก็ต้องประคองเหมือนไฟ บางครั้งยศก็ให้ประโยชน์ บางครั้งยศก็ให้โทษ ยศจึงสามารถจึงสามารถทำร้ายได้ทั้งตนเองและผู้อื่น
ลาภสักการะโชคสินทรัพย์ ท่านเปรียบเหมือนก้อนดินคนให้ค่าอย่างไร มันก็มีค่าอย่างนั้นเหมือนลิงได้ทอง ลิงได้ก็เอาไปเขวี้ยงทิ้ง คนได้ทองก็เอาไปขาย ดังนั้น สินทรัพย์ทั้งหลายท่านจึงให้ค่าเหมือนก้อนดินอยู่ที่ให้คุณค่าความหมาย
เสียงสรรเสริญ เหมือนลมพัดกระพือเกิดจากลม ทำให้ลอยก็ได้ ทำให้จมก็ได้ ผู้เพลิดเพลินในเสียงสรรเสริญ จึงไม่เป็นตัวของตัวเอง เป็นแต่คล้อยตามผู้อื่น บางคนเครียดเพราะเสียงสรรเสริญต้องคอยรักษาชื่อเสียงเอาไว้ หมดเท่าไหร่ก็ยอมจึงเป็นทุกข์เพราะเสียงสรรเสริญนั่นเอง
สุขไม่ว่าจะสุขเกิดจากอะไรมันก็ทำให้ชุ่มชื่น รู้สึกชอบ ดังนั้นสุขก็เป็นตัวขัดขวางส่วนหนึ่ง ทำไมคนจึงไม่ภาวนา มักจะตอบว่าก็ตอนนี้ฉันไม่ได้มีความทุกข์ ต้องภาวนาทำไม เพราะไม่ได้ทุกข์อะไร บ้านก็มี เงินก็มี ลูกหลาก็ดี เพื่อนก็ดี ญาตก็ดี มันดีทุกอย่าง นี่เขาเรียกว่าความสุข ถ้ามันดีทุกอย่าง อย่างนี้จะเลิกเกิดไปทำไม นี่เห็นไหมว่า สุขมันก็ทำให้คนตาบอด มองไม่เห็นความเป็นจริงของสังสารวัฎ ดังนั้นสุข มันมาคู่กับความทุกข์ ที่ใดมีสุข ที่นั่นก็มีความทุกข์แตกต่างกันตรงที่ว่า เวลาแห่งสุข มันอาจจะยาวนานหน่อยมากหน่อย เพราะสร้างกุศลไว้เยอะ ก็เลยมีสุขมากนั่นเอง
พระพุทธเจ้าพระองค์จึงสอนให้ทำ อภิณหปัจจเวกขณ เสมอ ๆ ว่า
เรามีความแก่เป็นธรรมดา
เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา
เรามีความตายเป็นธรรมดา
เรามีความพรัดพราก ความไม่สมหวัง ความผิดหวัง ความอยากได้สิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น เป็นธรรมดา
เรามีกรรมเป็นกำเนิด เป็นเผ่าพันธ์ เป็นพวกพ้อง เป็นที่พึ่งอาศัย ไม่ว่าทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมสนองต่อเราทุกกรรม เป็นธรรมดา
เจริญธรรม / เจริญพร